Applied Linguistics [Language Acquisition]
1. Explain the differences & similarities of First Language Acquisition and Second Language Acquisition.
Employ the linguistic hypothesis initiated by Noam Chomsky and Stephen D. Krashen.
Noam Chomsky กล่าวว่ามนุษย์มีอุปกรณ์ทางภาษา [Linguistic Acquisition Device] ติดมากับสมอง และเป็นตัวส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ภาษาเมื่อได้รับประสบการณ์ทางภาษาจากสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ เมื่อเด็กเรียนรู้ภาษาที่หนึ่ง
[First Language ] เด็กจึงเรียนรู้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานของ Stephen D. Krashen เรื่องสมมติฐานระหว่างการซึมซับกับการเรียนรู้ คือการเรียนรู้ภาษาที่หนึ่งเมื่อเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมทางภาษาและมีบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ การสนทนาที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งก็เชื่อมโยงถึงสมมติฐานเรื่องการตรวจสอบเพื่อให้การแสดงออกทางภาษาดียิ่งขึ้น ส่วนการเรียนรู้ภาษาที่สองเนื่องจาก Noam Chomsky กล่าวว่ามนุษย์มีอุปกรณ์ทางภาษาติดตัวมาเมื่อเชื่อมโยงกับสมมติฐานระหว่างการซึมซับกับการเรียนรู้ของ Stephen Krashen การจัดสภาพการเรียนรู้ให้เป็นธรรมชาติรวมถึงระบบการเรียนรู้อย่างใส่ใจ และใช้สมมติฐานเรื่องการตรวจสอบจะมีส่วนช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ภาษาที่สองได้เป็นอย่างดี แต่การเรียนรู้ภาษาที่สองก็ต่างจากการเรียนรู้ภาษาที่หนึ่งตรงที่ผู้เรียนต้องอาศัยการเรียนรู้อย่างใส่ใจและใช้สมมติฐานเรื่องการตรวจสอบมาเป็นส่วนช่วยอย่างมาก และผู้เรียนจะประสบผลมากหรือน้อยก็เป็นไปตามสมมติฐานตัวเอื้อ/ปิดกั้นการเรียนรู้
2. Explain and present the relationship of the following terms.
2 a Critical Age Hypothesis
กล่าวถึงเด็กมีความสามารถพิเศษในการรับรู้ทางด้านภาษาโดยเริ่มตั้งแต่อายุประมาณ 2 ขวบจนถึงอายุประมาณ 13
แต่ในการศึกษาภายหลังกล่าวว่าการเรียนรู้ทางด้านภาษาเกิดขึ้นได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนถึงอายุประมาณ 5 ขวบ
2 b Innateness theory
ทฤษฎีนี้กล่าวถึงมนุษย์ที่ถูกกำหนดให้เป็นไปตามธรรมชาติทางพันธุกรรมในการเรียนรู้ทางภาษาในสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ เช่นเด็กเรียนรู้ที่จะพูด สื่อสาร และโต้ตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติเมื่ออายุประมาณ 3 ขวบ
2 c Universal Grammar
Noam Chomsky เชื่อว่าสมองของมนุษย์มีกลไกที่จะจัดการด้านภาษาถึงแม้แต่ละภาษาจะมีโครงสร้างทางภาษาที่แตกต่างกัน โดยเด็กสามารถเรียนรู้ที่จะสื่อสารและเรียนรู้ที่จะแก้ไขข้อผิดพลาด
2 d Parameter Setting
คือการบอกคำตอบว่าทำไมเราถึงใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องตามโครงสร้างทางไวยากรณ์ได้อย่างหลากหลาย โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการจำ แต่เป็นการเข้าใจภาษาและสื่อสารอย่างเป็นธรรมชาติ
3. Revisit the following hypotheses
3 a Acquired System and Learned System. How are they manifested in SLA ?
การเรียนรู้ภาษาที่สองจำเป็นต้องมี acquired system เป็นการจัดบรรยากาศการเรียนรู้ทางด้านภาษา ให้ผู้เรียนได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด ส่วน learned system ช่วยให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ให้เกิดขึ้นตามหลักภาษา หรือช่วยให้ผู้เรียนเห็นประโยชน์ในการนำภาษาไปใช้
3 b Monitor Hypothesis. Why do we need this hypothesis ? Does the first the language acquisition require this qualification ?
สมมติฐานเรื่องการตรวจสอบเป็นความเชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้แบบ acquisition กับแบบ learning คือเมื่อมีการแสดงออกทางด้านภาษา ก็จะต้องมีการเรียนรู้ที่จะปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไขการใช้ภาษาให้ดียิ่งขึ้น
การเรียนรู้ภาษาที่หนึ่งก็จำเป็นต้องใช้สมมติฐานนี้ เช่นเด็กเรียนรู้ที่จะสื่อสารกับผู้อื่นให้เข้าใจก็ต้องรู้จักการตรวจสอบ
3 c Affective Filter Hypothesis. What do you think about this ?
คิดว่าการเรียนรู้ภาษาที่สองสมมติฐานนี้มีส่วนสำคัญมากเช่นกัน ถ้าหากผู้เรียนมีแรงจูงใจที่จะเรียนรู้ มั่นใจในการสื่อสาร มีความอดทนในการเรียนรู้ก็จะประสบความสำเร็จ ในทางตรงกันข้ามถ้าผู้เรียนมีตัวปิดกั้นการเรียนรู้ก็จะทำให้ผู้เรียนไม่ประสบความสำเร็จ
4. Discuss he period of language acquisition (This should include the perception and production period.) Case study or tangible examples are highly appreciated.
ช่วงระยะเวลาในการพัฒนาการทางภาษาแบ่งได้ออกเป็นดังนี้
1. การร้องไห้ เด็กแรกเกิด 0-4 เดือน จะไม่สามารพใช้ภาษาทางการพูดได้ แต่เด็กจะมีวิธีการสื่อความหมายให้พ่อแม่หรือบุคคลอื่นๆ ทราบความต้องการด้วย “การร้องไห้” เด็กมักจะแสดงอาการร้องไห้ออกมาเพื่อแสดงถึงความรู้สึกที่เขาต้องการสื่อให้เราทราบ หรือทำเสียงอ้อแอ้หรือหัวเราะ เด็กอายุ 10-16 สัปดาห์ จะมีการเรียนรู้เกี่ยวกับการพูดและการมองเห็น ซึ่งเป็นพัฒนาการอีกขั้นหนึ่งในการสื่อภาษา
2. เริ่มพูดได้ เด็กจะเริ่มมีการใช้เสียงก่อนการพูดเป็นคำ คือ เด็กจะยังพูดออกมาเป็นคำยังไม่ได้แต่จะมีการออกเสียง เช่นเสียงหม่ำๆ เป็นต้น เด็กจะใช้ระยะเวลาในการหัดพูด หัดออกเสียง จากเสียงที่ได้ยิน หรือเป็นการเลียนแบบเสียง และเด็กมักจะแสดงท่าทางประกอบการพูดด้วย
3. พูดคำเดียวหรือวลีเดียว เมื่อเด็กมีพัฒนาการทางการเลียนแบบเสียงต่างๆได้แล้วเด็กก็จะเริ่มพูดเป็นคำ ในช่วงอายุ 14-20 เดือน โดยเด็กจะเริ่มพูดคำที่สามารถมองเห็นได้ จับต้องได้ และเห็นเป็นรูปเป็นร่างก่อน เช่น พ่อ แม่ ไฟ โต๊ะ เป็นต้น แต่เด็กจะยังออกเสียงไม่ชัด เช่น คำว่า”พ่อ” เป็น “ป๋อ” , “วัว” เป็น “โบ” เป็นต้น เพราะเด็กยังติดกับทฤษฎีการเลียนเสียงอยู่
4. พูดสองคำ เด็กช่วงอายุประมาณ 18-24 เดือนจะสามารถเริ่มต้นพูด 2 คำได้ เด็กจะจำคำศัพท์ได้ประมาณ 50 คำ และจะเริ่มนำคำมาประสมกับเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ หรือ เพื่อชี้ให้เห็นถึงการครอบครอง เช่น คำว่า”แม่กิน” ก็หมายถึงว่าเด็กต้องการกินของที่แม่ถือมา หรือ คำว่า “หมาไป” ก็เป็นการไล่หมาให้ไปไกลๆ หรือ คำว่า “พ่องาน” หมายถึงว่า พ่อไปทำงานแล้วเป็นต้น
5. เริ่มพูดได้เป็นประโยค คือหลังจากที่เด็กมีพัฒนาการดังกล่าวในข้างต้นจนถึงสามารถพูดได้เป็นประโยค โดยการพูดเป็นประโยค เด็กจะเริ่มพูดเป็นประโยคที่ถูกบ้าง ผิดบ้าง เพราะเด็กยังไม่ได้รับการเรียนรู้อย่างจริงจังทำให้การพูดดูตลก โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่เห็นเพียงว่าตลก น่าหัวเราและไม่แก้ไขให้เด็กพูดประโยคที่ถูกต้อง เด็กก็จะจำประโยคนั้นไปพูดอีกจนติดเป็นนิสัย ดังนั้นเด็กควรได้รับการเรียนรู้ที่ถูกต้อง จึงมีกำหนดให้เด็กต้องเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลหรืออายุประมาณ 4 ขวบ เพื่อเป็นการเพิ่มทักษะทางภาษา และการเรียนรู้ให้กับเด็กในด้านอื่นๆ อีกด้วย
Waraporn Hinpet
47031020160
English Education 3
E-mail kroobim@hotmail.com
Sunday, January 14, 2007
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
Blog Archive
-
▼
2007
(44)
-
▼
January
(44)
- หมดเวลาส่งข้อสอบแล้ว
- Midterm paper (นายชริญญา อมรวัฒนาพงษ์)
- Midterm paper ( นายยงยุทธ จิตอารี )
- Midterm paper (นางสาวสุภาพร ชุ่มกลิ่น)
- Midterm Ketsarin khayak
- Midterm Ketsarin khayak
- Midterm Ketsarin khayak
- Midterm Ketsarin khayak
- midterm yang jian lin (กลิกา)
- midterm Wanlika Thanuchon
- midterm Fei Zhao ( วิโรจน์ ) Or ( ภาพภูม )
- midterm Guoying Li (นิรุชา)
- midterm - Woraluk Taya
- midterm Chu Mei (โสมวรรณ)
- midterm paper นาย ยอดรัก วรรณศักดิ์เจริญ
- midterm paper นาย สุทธิพงษ์ เกียรติยศ
- midterm peper ( วิสิทธิศักดิ์ แผ้วผา)
- midterm paper (Araya Nguemnunjai )
- midterm paper (Araya Nguemnunjai )
- midterm peper ( สุนทรี ศิริภูวนันท์)
- midterm paper (Jutamas naakmoon)
- midterm paper (Jutamas naakmoon)
- Midterm paperนายพิสิฐ สิทธิวงศ์
- Midtermนางสาวนิตยา แก้วทองมา
- Midterm paper (Nucharin Siwichai 47031020111)
- Midterm Paper (MissOrasa Poonsawat 47031020139)
- Midterm paper [Sukanya Tawsan]
- Midterm paper [Duangporn Wongyai]
- Midterm paper [Sirinapa Srivichai]
- midterm paper ประทุม บัวแก้ว
- midterm paper วรารัตน์ ระวังการ
- midterm paper น.ส.จิตติพร เชื้อเมืองพาน
- Midterm paper [Onteera Doungtadum]
- midterm paper วราภรณ์ หินเพ็ชร
- midterm paper มินตรา เขียวชะอุ่ม
- Miterm paper น.ส. พิมพ์ใจ จ๊อดดวงจันทร์
- midterm paper (พวงพยอม ถึงสุข)
- Midterm paper ( Patcharee Homdok )
- midterm paper (วัชรีภรณ์ อุปนันไชย)
- Midterm น.ส.ศศิวรรณ เทียนทอง
- Midterm น.ส.นิศาชล แก้วกันทะ
- Midterm นางสาวปราณี กวางนอน
- midterm paper (Kamlaitip Joojiam)
- midterm paper (Som-u-sa Sakdaduang)
-
▼
January
(44)
No comments:
Post a Comment