Sunday, January 14, 2007

midterm paper นาย ยอดรัก วรรณศักดิ์เจริญ

1. Explain the difference & Similarities First Language Acquisition and Second Language Acquisition? Employ the linguistic hypothesis initiated by Noam Chomsky and Stephen D. Krashen (10%)
1.) ภาษาที่หนึ่ง ( First Language Acquisition ) เป็นภาษาที่เรียนรู้มาตั้งแต่เกิดจะคนทุกๆคนเริ่มซึมซับภาษามาตั้งแต่เกิด ซึ่งหัดพูดจากที่พ่อแม่สอนโดยเริ่มจากคำง่ายๆก่อน เช่นคำว่า ดา ตา ปา เป็นต้น หรือซึมซับจากสภาพแวดล้อมที่ตนอยู่ ดังนั้นภาษที่หนึ่ง( First Language Acquisition ) มนุษย์จะถนัดและรู้มากกว่าภาษาที่สองเพราะภาษาที่หนึ่ง ( First Language Acquisition ) ใช้ในชีวิตประจำวันทุกวัน.
นอม ชอมสกี ( Noam Chomsky ) เจ้าสำนักโดยพฤตินัยกล่าวไว้ว่า ภาษา คือ ภาษาเป็นสิ่งมีความละเอียด ซับซ้อน ภาษาและความรู้ทางภาษาซึ่งแบ่งออกมาเป็นความรู้ทางเสียงทางไวยากรณ์และความหมาย เป็นต้นเป็น ลักษณะเฉพาะของมนุษย์เท่านั้นเมื่อตอนเด็กได้รับประสบการณ์ ( Exposed to any language ) ภาษาใดมาบวกกับอุปกรณ์ทางภาษาที่มีอยู่แล้วก็ทำให้เด็กเรียนรู้กับองค์ความรู้ทางภาษานั้นขึ้นมาใช้หรือสภาพแวดล้อมทางภาษาที่เป็นธรรมชาติ ( Natural Human Environment )มีหลากหลายและแตกต่างกัน ทำให้เด็กไม่สามารถตั้งคุณลักษณะเฉพาะทางภาได้หากเด็กได้อยู่ในสังคมหลากหลายและมีการใช้ภาษาหลากหลายจะยิ่งทำให้สับสนยิ่งขึ้นแต่ปรากฏว่าเด็กค่อยๆเรียนรู้และสร้างระบบทางภาษาขึ้นมาจนใช้เป็นอย่างดี
2.) ภาษาที่สอง (Second Language Acquisition) เป็นภาษาที่มนุษย์เรียนรู้จากการลอกเลียนแบบ หรือซึมซับจากบุคคลอื่นแหล่งการเรียนรู้ ได้แก่ หนังสือ ครู- อาจารย์ เจ้าของภาษา ภาพยนตร์ เป็นต้น ซึ่งการเรียนภาษาที่สองจะยากกว่าภาษาที่หนึ่งเป็นอย่างมากเพราะต้องอาศัยความเพียรพยายามของผู้เรียนเป็นอย่างมาก
Stephen Krashen กล่าวโดยสรุปเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษาที่สอง
1. Acquisition-Learning Hypothesis สมมุติฐานระหว่างการซึมซับกับการเรียนรู้
2. Monitor Hypothesis สมมุติฐานเรื่องการตรวจสอบ
3. Natural Order Hypothesis สมมุติฐานว่าด้วยลำดับขั้นตอนตามธรรมชาติ
4. Input Hypothesis สมมุติฐานเรื่องปัจจัยนำเข้า
5. Affective Filler Hypothesis สมมุติฐานเรื่องตัวปิดกั้นการเรียนรู้

2. Explain and present the relationship of the following terms (10%)
a. Critical Age Hypothesis สมมุติฐานอายุของภาษา
อายุมีผลต่อการรับรู้ทางภาษาของเด็ก เด็กจะเรียนรู้ภาษาได้ดีถ้าได้เรียนรู้จากที่บ้านของเขาเองโดยการเรียนแบบหรือพรสวรรค์ในการใช้ภาษายิ่งถ้าตอนเด็กๆมีเรียนรู้รับรู้ทางภาษามากก็จะทำให้เกิดการเรียนภาษาที่ดี เด็กจะรับรู้ทางภาษาในช่วงอายุ 12 เดือน เด็กมีการพัฒนาด้านภาษาอย่างเช่น เด็กทารกวัย 4 เดือนไม่สามารถพูดได้อย่างชำนาญแต่มักจะร้องให้แสดงความรู้สึกที่เขาต้องการ ทำเสียงออแอหรือหัวเราะ ส่วนเด็กที่อายุ 10 ปี 16 สัปดาห์ จะมีการเรียนรู้เกี่ยวกับการพูดและการมองเห็น ซึ่งเป็นพัฒนาการของเด็ก เด็กจะเริ่มพูดได้โดยใช้เสียงก่อนจะพูดได้เป็นคำพูด เด็กจะใช้ระยะเวลาในการถ่ายทอดเวลาในการหัดพูด หัดออกเสียง เด็กจะเลียนแบบเสียงที่ได้ยิน และมักจะแสดงท่าทางประกอบการพูด เช่นใช้มือชี้สิ่งที่เขาต้องการ สิ่งที่เขาชอบ เด็กจะพูดได้ 50 คำ เมื่ออายุ 2 ขวบ ยิ่งอายุมากก็จะยิ่งมีอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของภาษา เพราะสมองจะมีการพัฒนาล่าช้าได้ ส่วนที่มีการรับรู้ได้ดีนั้นจะอยู่ในช่วงที่มีอายุน้อยๆ วัยในการเรียนรู้ของภาษาเชื่อกันว่าการเรียนรู้ภาษาของมนุษย์จะอ่อนกำลังลงและจะยุติการเรียนรู้เมื่อเด็กอายุ ถ้าไม่มีประสบการณ์ทางภาษาและการเรียนรู้ทางภาษาในช่วงอายุนี้ การเรียนรู้ภาษาและการเกิดการเรียนรู้จะไม่สมบูรณ์แล้วก็จะแสดงออกได้ไม่ดีพอ อย่างเด็กไม่ได้มีการเรียนรู้ภาษาในที่ต่างๆเลยในวัยที่ควรจะได้เรียนรู้ภาษาในที่ต่างๆการแสดงออกพูดออกมาก็จะไม่มีและพอเลยอายุของการเรียนรู้ภาษาไปแล้ว การเรียนรู้นั้นก็จะล่าช้าไม่สมบูรณ์แบบ ถ้าเด็กไม่มีประสบการณ์ตรงทางภาษามาก่อนจะทำให้การเรียนรู้นำไปสู่การสับสนและไม่สามารถกำหนดโครงสร้างทางไวยากรณที่สมบูรณ์แบบได้
เพราะปัจจัยที่นำเข้าทางภาษาและสภาพแวดล้อมทางภาษาที่เป็นธรรมชาติมีความหลากหลายและแตกต่างกัน วัยผู้ใหญ่จะเรียนรู้ได้ดีกว่าในวัยเด็กในระยะที่สั้น ส่วนระยะที่ยาวเด็กจะมีการเรียนรู้ทางภาษาได้ดีกว่า เพราะเด็กจะเรียนรู้ตามธรรมชาติ




b. Innateness theory (ทฤษฎีที่มีมาแต่กำเนิด)
เด็กที่มีความสามารในการเรียนรู้ภาษามาตั้งแต่กำเนิด ส่วนสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็กเป็นสิ่งที่เสริมกำลังใจเสริมแรงให้เด็กเรียนภาษาที่เด็กสามารถใช้มาตั้งแต่เด็กๆ เด็กมีสัญชาติญาณในการรับรู้และพัฒนาการของสมองตามสภาพ แวด ล้อม บริบทที่เป็นอยู่และมีภาษาที่ 1 อยู่

c. Universal Grammar
ไวยากรณ์สากลเป็นทฤษฎีหรือหลักการสมมุติทางภาษาศาสตร์ที่ถูกแยกออกมาจากตัวภาษาทั้งหมด ทฤษฎีนี้กล่าวไว้ว่าภาษาของมนุษย์ทั้งหมดนั้นมีไวยากรณ์ที่ไม่เหมือนกัน เนื่องด้วยเพราะพื้นฐานของภาษาอยู่คนละภาษากัน หรือมนุษย์มีตัวกำหนดโครงสร้างในตัวภาษาในตัวของภาษาเอง ส่วน Universal Grammar เป็นตัวกำหนดกฎที่ตายตัวไว้ใช้ร่วมกันเพื่อให้เกิดการเข้าใจร่วมกัน เหมือนกันในระหว่างต่างชาติต่างภาษา แต่ถ้ามาพบกันแล้วใช้ไวยากรณ์สากล ก็จะสามารถเข้าใจกันได้ ถึงแม้ว่าจะมีภาษาที่ 1 ไม่เหมือนกันแต่ถ้ามาสื่อสารโดยใช้ไวยากรณ์สากล ก็จะเข้าใจไปในแนวทางกันได้ อย่างในความคิดของโรเจอร์ เบคอน เขาสังเกตพบว่า ภาษาทั้งหลายนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยไวยากรณ์ที่มีส่วนคล้ายๆกัน โดยทั่วไปภาษาทั้งหมดมีความเหมืนกันถึงมีว่ามันจะถูกแปรผันไปโดยบังเอิญ และศตวรรษที่ 13 ก็มีนักไวยากรณ์ครุ่นคิดตามที่ความคิดของเกี่ยวกับกฎที่เป็นสากลกำหนดไวยากรณ์ทั้งหมด ข้าพเจ้าคิดว่า ไวยากรณ์สากลเป็นการปรับตัวภาษาให้มีแนวทางที่สอดคล้องกัน เชื่อมโยงต่อเนื่องกันเพื่อใช้ติดต่อสื่อสารของมนุษย์ เพราะมนุษย์มีภาษาไม่เหมือนกันเป็นระบบที่รองรับตัวภาษาที่มารองรับที่สร้าง competence , performance






d. Parameter Setting (PPT)
คือการ Set คำว่าคำนี้ควร อยู่ตรงไหนของประโยค หรือลักษณะเฉพาะของแต่ละภาษาว่าควรวางก่อนวางสระ เช่นคำว่าผู้หญิงสวย ก็คือ Beautiful girlไม่ใช่ girl beautiful หรือประโยคคำถาม What do you do ?เราไม่ใช่ถามว่า Do you what ?
ซึ่งจากตัวอย่างข้างต้นนั้นเรารู้ว่าคำนี้วางตรงไหนควรวางไว้หน้าหรือข้างหลัง เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมใดๆก็จะค่อยๆปรับคุณลักษณะเฉพาะทางภาษาในภาษานั้น สิ่งที่เด็กค่อยๆปรับมาเป็นความรู้ที่อยู่ตัวเราในภาษานั้น ก็จะทำให้แสดงออกทางภาษาได้อย่างดี เด็กจะมี Perception คือ เมื่อฟังเสียงอะไรไปก็รับเอาภาษานั้นเข้าไปแล้วมีการปรับตัว Set ค่าให้เข้ากับตัวภาษา เพราะภาษาไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นข้อจำกัดของภาษา ไม่ใช่มนุษย์เท่านั้นที่มีสัญชาตญาณแต่สัตว์ก็มีสัญชาตญาณแสดงการรับรู้ รับความรู้สึกกับสิ่งแวดล้อม เช่น อย่างปลาโลมาที่มีคลื่นบอกถึงการเตือนภัยหรือ บอกถึงแหล่งอาหารแต่ไม่ได้พูดแสดงหรือมนุษย์จะแสดงท่าทาง สัตว์อาจรู้ว่าเราพูดอะไรกับมันแต่มันพูดกับเราไม่ได้ มนุษย์มีเครื่องมือในการรับภาษาแต่สัตว์ไม่มีเครื่องมือรับภาษา

3. Revisit the following hypotheses (10%)
a. Acquired system and Learned? How are they manifested in SLA?
Acquired system คือ ระบบซึมซับหรือการเรียนรู้แบบซึมซับ เป็นผลจากการเรียนรู้โดยไม่ตั้งใจ ไม่ใส่ใจ แต่เนื่องจากเรียนรู้ไปกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่หรือสภาพแวดล้อมทางภาษาการเรียนรู้แบบซึมซับคล้ายกับการเรียนรู้ที่เด็กเริ่มเรียนรู้ภาษาที่หนึ่ง สนทนาตามธรรมชาติเป็นไปตามสัญชาติญาณโดยผู้เรียนไม่ใส่ใจที่จะนึกถึงไวยากรณ์มาใช้ในการสนทนาแต่จะเน้นในการใช้ประโยชน์ในเนื้อหาหรืออรรถรถ การสื่อสารมากกว่าคำนึงถึงความถูกต้องไม่คำนึงถึง ผิด – ถูกต้อง อย่างเช่น เด็กเรียนรู้และเลียนแบบและซึมซับเอาคำที่แม่พูดและสภาพแวดล้อมในตัวของเด็กพัฒนาในตัวภาษาของตนเอง เช่น คำว่า แม่ป้อนข้าวให้ลูกแม่จะใช้คำว่า หม่ำ... หม่ำ เด็กจะซึมซับเอาและเมื่อได้ได้ยินคำนี้อ้าปากรับเข้าปากไป โดยไม่คำนึงถึงว่าจะหมายถึงอย่างไร แต่เด็กรู้ว่าจะทำอย่างไรถ้าไม่พูดว่าอย่างนี้ หรือในภาษาอังกฤษ your name แค่พูดคำนี้ เราก็จะรู้ว่าเขาต้องการให้บอกชื่อเราโดยไม่ต้องใช้คำถาม “What’s your name ? ” ที่ถูกต้องตามไวยากรณ์ก็จะสามารถโต้ตอบกับผู้ที่เราสนทนาด้วยได้ เมื่อพูดบ่อย ๆ เราก็เริ่มเรียนรู้แบบซึมซับไปเรื่อย ๆเราต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมทางภาษาที่เอื้อต่อการเรียนรู้แบบซึมซับนี้ด้วย จะเป็นการสนทนาที่เป็นธรรมชาติไม้ต้องมีกฎเกณฑ์มากำหนดไว้ซับซ้อน
Learned System คือระบบการเรียนรู้แบบใส่ใจ ระบบนี้เป็นการเรียนรู้จากห้องเรียนหรือการสอนอย่างเป็นจริงเป็นจัง และระบบจะสร้างองค์ความรู้ทางวิชากาเช่น กฎเกณฑ์ไวยากรณ์ การออกเสียงที่ถูกต้องตามหลักของภาษาและระบบจะสร้างองค์ความรู้ทางวิชาการ หรือความตั้งใจในการที่ที่จะเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเองและผู้อื่นหรือเอาเป็นตัวความรู้ของภาษาของเราเอง Krashen ก็ถือว่าสำคัญเหมือนกันแต่ไม่สำคัญเท่ากับระบบแรก เพราะระบบแรกนั้นจะเป็นการเรียนรู้ตัวแต่กำเนิดแต่สำหรับระบบนี้จะเริ่มเรียนรู้เมื่อเริ่มศึกษาในโรงเรียนศึกษาตามความสนใจ คำนึงถึงความถูกต้องมากกว่าอรรถรถทางภาษาในตัวของภาษาเอง
ความแตกต่างของทั้งสองระบบนี้
Acquired
Learning
-แน่นอน, เป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตใต้สำนึก
-ไม่เป็นทางการ
-ไม่ต้องคำนึงถึงกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์
-คำนึงถึงเจตคติ,ทัศนคติ
-ไม่เปลี่ยนแปลงๆได้ง่าย ๆ
-ไม่แน่นอน, ต้องสนใจ ตั้งใจ ภายนอก
-เป็นทางการ
-ใช้กฎเกณฑ์ไวยากรณ์
-คำนึงถึงเจตคติ,ทัศนคติ
-เปลี่ยนแปลงได้ง่าย,ตลอด


How are they manifested in SLA?
ระบบ Acquired นั้นจะเป็นการซึมซับซึ่งถือว่าเราซึมซับทางภาษาที่หนึ่งก่อนแล้วมาเริ่มเรียนรู้ภาษาที่สองและเริ่มเรียน Learned System ในตัวของภาษาที่สองซึ่งการรับของภาษานั้นถือได้ว่าทั้งสองระบบทั้งการเรียนรู้แบบ Acquired กับการเรียนรู้แบบ Learning นั้น Krashen เห็นว่าผู้ทีจะเรียนภาษาที่สองได้ดีต้องอาศัยทั้งสองระบบนี้ เอาระบบ Acquired เป็นตัวพื้นฐานของภาษาและใช้ Learning System เป็นปัจจัยเสริมการเรียนรู้เพื่อให้เกิดการเรียนรู้เพื่อให้เกิดการเรียนภาษาที่สองได้ดีและมีประสิทธิภาพ
หากต้องแบ่งบทบาทของ Acquired System และ Learned System แล้วสิ่งที่เป็นตัวแสดงออกทางภาษาหรือที่เรียกว่า Initiator Utterance คือAcquisition หรือสิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้วก็คือตัวของภาษาที่หนึ่ง ความรู้ที่ได้มาตั้งแต่กำเนิด ส่วนการตรวจสอบและปรับปรุงเพิ่มเติมการแสดงออกทางภาษาก็คือ Learned System ในการเรียนรู้ภาษาที่สองนั้นถึงว่าเราจะเรียนรู้ไม่ได้ดีเท่ากับเจ้าของของภาษา แต่เราสามารถเรียนรู้ได้และรับเอาภาษาอื่นมาเป็นองค์ความรู้และประสบการณ์ทางภาษานอกจากภาษาที่หนึ่งได้ แต่ถ้าเราไม่จัดระบบของการรับภาษาให้ดี สิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว Acquired System จะถูกทำลายไปบ้างจากที่เรามี 100% แต่ถ้าเราเอาภาษาอีกภาษาหนึ่งมาก็จะเกิดความซับซ้อนเกิดขึ้น เราเรียนภาษาไทยมาตั้งแต่เกิดแต่ถ้ามาเรียนในโรงเรียนเราต้องมีการเรียนภาษาอื่นๆ นอกจากภาษาที่1 ,2, 3.....ไปเรื่อย ๆเพราะการเรียนรู้ของคนเราไม่ได้จำกัด เหตุที่คนเราเรียนรู้ได้หลายภาษาเพราะมนุษย์มีเครื่องมือในการรับภาษา การเรียนรู้ภาษา 2 ภาษาพร้องกันจะทำให้ภาษาที่หนึ่งเกิดการเรียนรู้ไม่สมบูรณ์ หรืออาจทำให้ทั้งสองภาษาไม่สมบูรณ์ก็ได้ ภาษาที่สองเราจะใช้ความจำเป็นส่วนใหญ่ เพราะเราเข้าใจภาษาอื่นยากซึ่งต้องใช้เวลาในการเรียนรู้

b. Monitor Hypothesis? Why do we need this hypothesis? Does the First language acquisition require this qualification?
Monitor Hypothesis คือ สมมติฐานเรื่องการตรวจสอบ สมมติฐานนี้ตอบคำถามถึงความเชื่อมโยงกันระหว่างการเรียนรู้แบบAcquisition กับการเรียนรู้ เป็นการตรวจสอบในตัวภาษาตัวที่แสดงออกในตัวของภาษา คือ ระบบในการเรียนรู้หรือความรู้ทางไวยากรณ์ต่าง ๆในข้อนี้ทำหน้าที่วางแผน ปรับปรุง แก้ไขและแสดงออกทางภาษาให้ดีขึ้น ซึ่งผู้เขียนต้องคำนึงถึงปัจจัย 3 ประการดังนี้ คือ
1) ผู้เรียนได้ใช้ภาษาอย่างเพียงพอ
2) ผู้เรียนเริ่มคิดถึงความถูกต้องทางภาษาหรือแนวทางในการปรับปรุง
3) ผู้เรียนรู้กฎเกณฑ์ทางภาษา
เมื่อมีปัจจัยทางภาษาทั้ง 3 ประการนี้ ผู้เรียนก็จะเกิดการปรับและตั้งสมมติฐานตรวจสอบเกิดขึ้นเอง ใช้ในกรณีที่ผู้เรียนใช้ภาษาไม่ถูกต้องและหลุดกรอบออกไปจากการสื่อสารปกติ Krashen ได้แบ่งคนที่ใช้ในการตรวจสอบเป็น 2 พวกด้วยกัน คือ
1) พวกที่มีบุคลิกภาพโดดเด่น พูดเก่ง มากกว่าคนอื่น ๆก็จะใช้การตรวจสอบหรือเป็นพวก Under users
2) พวกที่ชอบเก็บตัว ( Introvert ) หรือผู้ที่เน้นความถูกต้องทุกระเบียดนิ้ว (Perfectionist ) ก็จะใช้การตรวจสอบมาก หรือเป็นพวก Over users
จะเห็นว่า Extrovert จะมีแนวโน้มใช้การตรวจสอบน้อยเนื่องด้วยเพราะเป็นผู้ที่มีความรู้ในตัวภาษามาก ไม่จำเป็นต้องใช้การตรวจสอบอีก หรือมีประสบการณ์ในการเรียนรู้ในตัวภาษามาก มีการนำเอาความรู้ในตัวไวยากรณ์ คำ ประโยคใช้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับโครงสร้างของระบบ ใช้ภาษาอยู่ในกรอบของความถูกต้อง
Why do we need this hypothesis?
เหตุที่มีการใช้ข้อสมมตินี้เพราะสมมติฐานนี้ใช้เพื่อการตรวจสอบหรือปรับปรุงความถูกต้องของตัวภาษาและยังทำหน้าที่ในการวางแผน ปรับปรุง แก้ไข และแสดงออกภาษาที่ดีขึ้น และเพื่อให้เด็กคำนึงถึงความถูกต้องของประโยค ไวยากรณ์ต่าง ๆโครงสร้างของประโยค ถึงแม้ว่าประโยคนั้น ๆหรือไวยากรณ์นั้นจะสื่อความหมายให้คนอื่นรับรู้เช่นเดียวกัน แต่ในความถูกต้องไม่ได้ ซึ่งภาษาจะได้อยู่ในความถูกต้องในเรื่องของการสื่อสาร ภาษาจะได้ไม่เปลี่ยนแปลงไปด้วย และอีกอย่างหนึ่งเพื่อความเป็นสากลเพราะเรามี Universal grammar แล้วเพื่อใช้ให้ภาษาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและเข้าใจง่าย เราต้องมีกฎเกณฑ์ที่ใช้ร่วมกันเพื่อความถูกต้องและใช้ประโยชน์จาก Universal grammar ด้วย
Does the First language acquisition require this qualification?
ภาษาที่หนึ่งก็ต้องการตรวจสอบความถูกต้องเหมือนกัน เพราะเพื่อเป็นบรรทัดฐานในการพูดสื่อสาร ถึงแม้ว่าเราจะสื่อสารกับคนที่สื่อสารภาษาที่ 1 เหมือนกัน ก็ตามก็ต้องขึ้นอยู่กับความถูกต้องด้วยเช่นกัน ต้องการการตรวจสอบภาษาเพื่อนำไปใช้เหมือนกัน แต่ไม่ต้องการมากเหมือนกับภาษาที่ 2 เพราะเรามีความรู้ในภาษาที่ 1 มากกว่า
เพราะเราเป็นเจ้าของภาษาอีกอย่างถ้าเราได้รับความรู้ที่ถูกต้องมาได้ประสบการณ์ของภาษาซึมซับมาอย่างถูกต้องการใช้ภาษาของเราก็จะไม่ผิดพลาดก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบภาษาเหมือนภาษาที่ 2 ของเราก็ได้ แต่ถ้าเรามีอุปสรรคการซึมซับหรือมีปัญหาในการซึมซับภาษาที่ 1 ของเรามาตั้งแต่เด็กก็จำเป็นต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องด้วย

c. Affective Filter Hypothesis? What do you think about this?
คือสมมติฐานตัวเอื้อ/ตัวปิดกั้นการเรียนรู้ ซึ่งปัจจัยในการเรียนรู้ประกอบไปด้วย
แรงจูงใจ (Motivation) ความมั่นใจ (Self Confidence) หรือ ความหงุดหงิด หรือความอดทนในการเรียนรู้ (Anxiety)
-ด่านแรงจูงใจ ถ้าผู้เรียนมีแรงจูงใจที่จะเรียน มีความสนใจ มีอะไรที่ดึงดูดความสนใจที่จะเรียนก็จะทำให้การเรียนรู้ได้ดี มีประสิทธิภาพ แต่ถามีแรงจูงใจต่ำก็จะมีการเรียนรู้ที่ไม่ดีไม่อยากเรียนทำให้การเรียนในภาษาที่ 2 ไม่ประสบความสำเร็จ
-ด้านความมั่นใจ ถ้าไม่มีความมั่นใจก็จะเรียนแบบขอไปที ขาดความมั่นใจ เช่น การออกเสียงภาษาอังกฤษถ้าเราไม่กล้าขาดความมั่นใจ เราก็จะพูดไม่ได้และไม่เหมือนเจ้าของภาษาของเขาแต่กลับทำให้เรามีความมั่นใจ กล้าพูดฝึกพูดบ่อยๆ เราก็จะพูดได้ซึ่งก็จะไม่ตัวปิดกั้นการเรียนรู้ของเลย
-ด้านความอดทนในการเรียนรู้ ข้อนี้สำคัญเพราะถ้าตัวเรามีปัญหา อ่านไม่ออก ออกเสียงไม่ได้แล้วเกิดท้อหมดความอดทนในการเรียนรู้เอาง่ายๆ แล้วก็จะไม่อยากเรียนตัวรับภาษาก็จะถูกปิดกั้นการรับภาษา
What do you think about this?
การเรียนของเรานั้นอาจจะมีบางครั้งที่เจออุปสรรค เพราะในขณะที่เราซึมซับเอาภาษาที่ 1 เราก็ยังเจอตัวปิดกั้นความรู้ การเรียนรู้เหมือนกัน เช่น บางคนหูพิการ พูดไม่ได้ แต่ก็ยังอยากพูด ซึ่งในการรับเอาภาษาที่ 2 นั้น ก็เช่นจะไม่มีตัวปิดกั้นความรู้ แต่เราก็มีความพยายาม หมั่นฝึกฝน หมั่นค้นคว้าหาความรู้มาเพิ่มเติม พยายามเสริมแรงจูงใจให้กับตนเอง เพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ ต้องแก้ไขพฤติกรรมโดยการเสริมแรงทางบวก เมื่อพฤติกรรมดีขึ้นก็จะพัฒนาและปรับปรุงพฤติกรรมอีกทีหนึ่ง เช่น การให้กำลังใจเด็ก เมื่อเด็กออกเสียงไม่ได้ แทนที่จะด่าและบ่นให้เด็กหมดความสนใจ พยายามพูดให้เด็กมีแนวโน้มที่จะเรียนต่อ เราต้องสังเกตดูเด็กว่าเด็กมีปัญหาในการรับรู้หรือไม่ อย่างเด็กเกิดความมั่นใจก็พยายามออกมานอกห้อง หน้าชั้นเรียนเพื่อฝึกความเคยชิน และชมให้เขาก็สามารถพูดได้ เด็กก็จะเริ่มกล้าที่จะพูด ส่วนด้านความอดทนก็ต้องมีกิจกรรมเพื่อเบี่ยงเบนความเบื่อหน่าย เพราะเด็กบางคนอาจไม่ชอบเรียนรู้ภาษาที่ 2 และคิดว่าเรียนรู้ได้ไม่ดีก็ควรมีกิจกรรมเกมเพื่อเสริมปรับความรู้สึกเจตคติต่อตัวภาษาเสียใหม่
4. Disuse he period of language Acquisition (This should include the perception and production period. Case study or tangible examples are highly appreciated.

อิทธิพลจากภาษาที่อยู่รอบตัว
ช่วงอายุ
พฤติกรรมของเด็ก
6 เดือนแรก
พยายามแยกเสียง
6 เดือนหลัง
เริ่มจับความหมาย การรับรู้ของเด็กจะเหมือนกับผู้ใหญ่ สมมุติ E กับ A เด็กที่อยู่สภาพแวดล้อมที่พูดภาษาอังกฤษได้ เด็กจะรู้ความหมายแต่พุดไม่ได้
8-10 เดือน
เด็กเกินกว่าครึ่งกว่า ครึ่งสามารถแยกเสียงได้
10-12 เดือน
เด็กจะแยกแยะเสียงไม่ได้ แต่เมื่อเด็กโตขึ้นอีก เด็กก็จะสามารถเริ่มแยกเสียงได้อีกครั้ง ในช่วงหลัง 12 เดือน ระบบการเคลื่อนไหวทำงานได้ดีขึ้นการแยกแยะการออกเสียง ได้ดีขึ้น


นาย ยอดรัก วรรณศักดิ์เจริญ รหัส 47031020125
เอกภาษาอังกฤษ
คณะครุศาสตร์ ปี 3
E – mail : yodrak-w@hotmail.com

No comments:

Blog Archive